“ใคร ๆ ก็รู้ว่าการ นอ กใจสามีหรือภรรยา ด้วยการ มีกิ๊ก มีชู้ เป็นสิ่งไม่ดี แต่กระนั้นคนก็ยังพากันล ະ เ มิ ดและสร้างปัญหากันไม่รู้จบ”
พระมหาวิชรเมธี หรือ ว. วชิรเมเธี กล่าวถึงปัญหามือที่ 3 ในสังคมไทย พร้อมอธิบายสาเหตุที่คนชอบมีกิ๊กมีชู้กันว่าเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้
1. ขาดความละอายชั่ วกลัวบาป
2. ขาดสติสัมปชัญญะ
3. อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย
4. ได้รับอิทธิพลตะวันตก ที่มองเห็นว่าการนอ กใจคนรักเป็นสิทธิส่วนบุคคล และเป็นเรื่องธรรมดาที่ใคร ๆ เขาก็ทำกัน
5. พลังทางศีลธรรมในสังคมไทยอ่อนแอ โดยเฉพาะความเชื่อในระบบ ทำดีได้ดี หรือทำชั่ วได้ชั่ ว หรือ กฎแห่งกรรมมีความจืดจางลงไปมาก
ในทัศนะของอาตมาภาพ ปัจจัย 5 ข้อนี้แหละ ที่เป็นเหตุให้การล ະ เ มิ ดจริยธรรมทางเ พ ศมีมากขึ้น และกลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไทยไป
ลำพังแค่การคิดนอ กใจภรรยาถือว่าไม่ผิด แต่ถือว่าไม่ควร ไม่ผิดเพราะยังไม่มีการลงมือ แต่ไม่ควรเพราะการคิดเป็นจุดเริ่มต้นของพฤติกรรม มนุษย์เราทำเพราะว่าเราคิด เราคิดอย่างไรเราก็จะทำอย่างนั้น
ฉะนั้น เมื่อเราเริ่มมีความคิด แนวโน้มที่จะล ະ เ มิ ดมันได้เกิดขึ้นแล้วในใจของเรา ทันทีที่คิด เราต้องรู้เท่าทัน
และพาตัวเองออ กมาจากสภาพความคิดเช่นนั้นให้ได้ ผู้ที่ล ະ เ มิ ดจริยธรรมทางเ พ ศต่อคู่ครองและคู่รักของตนนั้น จะได้รับผลกรรมดังต่อไปนี้ …
1. ผลทางจิตใจมีความหวาดຣະเเวงกลัวว่าจะถูกจับได้ ความสุขที่มีแท้ที่จริงแล้วคือความทุกข์ที่รอผลิออ กดอ กผลต่างหาก ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงแต่อย่างใด
2. ผลต่อบุคลิกภาพทำให้สูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะรู้อยู่ว่าตัวเองเป็นวัวสันหลังหวะ
3. ผลต่อสถาบันครอบครัวอาจทำให้สถาบันครอบครัวเกิดความร้าวฉาน แตกแยก และหย่าร้างในที่สุด
4. ผลทางสังคมก่อให้ถูกนินทาว่าร้ า ຢ การโพนทะนา เสื่อมเสียชื่อเสียงที่ก่อมาทั้งชีวิต
5. ผลทางหน้าที่การงานอาจถูกบริษัทเรียกไปว่ากล่าว ตักเตือน หรือแม้กระทั่งไล่ออ ก
แบบฝึกหัดเรียกจิตสำนึก ก่อนคิดนอ กใจ
ผู้ที่อยู่ในช่วงหัว เลี้ยวหัวต่อ ต่อ การหมิ่นเหม่ล ະ เ มิ ดจริยธรรมทางเ พ ศ เพราะว่าเด็กมันยั่ว หรือว่าใจตรงกัน หรือว่าสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยก็ตาม
ถ้าคุณกำลังยืนอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อ เท้าของคุณข้างหนึ่งเหยียบอยู่ในน ຣ ก ข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนสวรรค์ ขอให้ถามตัวเองดังต่อไปนี้
1. เราพร้อมที่จะยอมรับผลที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไหม
2. ถามตัวเองว่ามั่นใจไหมว่า สิ่งที่เราจะกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ทุกขั้นตอน
3. ถามตัวเองว่าคุณพร้อมไหมที่จะรับผลกรรมซึ่งจะตามมาหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบัน อนาคตหรือแม้กระทั่งในภพหน้า
4. คุณมั่นใจแล้วหรือว่าคุณสามารถกุมความลับเอาไว้ได้อย่างมิดชิด
5. คุณพร้อมหรือไม่ ถ้าหากลูกเมีย เกิดรู้ขึ้น มาว่าคุณคบคิดท ຣ ຢ ศต่อเขา
6. คุณพร้อมที่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติคุณที่สั่งสมมาตลอดชีวิตหรือไม่
ถ้าถามตัวเองด้วยประการดังกล่าวแล้ว คุณคิดว่าบริหารเหตุปัจจัยที่จะเกิดได้ทั้งหมด ก็เชิญก้าวล้ำต่อไป แต่ถ้าถามตัวเองว่าแล้วรู้สึกว่าผลที่จะเกิดขึ้น มาแล้วหนักหนาสาหัส
ก็รีบถอดถอนตัวเองออ กมา แต่คนโดยมากจะถามตัวเองไปได้แค่ 3 ข้อ ก็รีบวางมือ เพราะเขาจะเกิดการไตร่ตรองมองตนอย่างลึกซึ้ง แต่ถ้าถามตัวเองไปจนถึง 6 ข้อ แล้วยังลงมือทำอยู่ แสดงว่าคุณได้สูญเสียสามัญสำนึกไปแล้ว
มนุษย์เรานั้นสูญเสียอะไรก็ไม่ร้ า ຢแรงเท่ากับการสูญเสียสามัญสำนึก คุณสูญเสียเงิน คุณหาใหม่ได้ คุณสูญเสียภรรยา คุณก็หาใหม่ได้ คุณสูญเสียงาน
คุณก็สมัครงานใหม่ได้ แต่ถ้าคุณสูญเสียสามัญสำนึก ก็เท่ากับว่าคุณได้สูญเสียความชอบธรรมที่จะเป็น มนุษย์ที่ดีกับเขาไปแล้ว
หลักธรรมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข
สาเหตุที่สถาบันครอบครัวมีปัญหาแตกแยกหย่าร้างสูง เนื่องมาจากขาดคุณสมบัติหลักๆ 4 ข้อด้วยกัน
1. ขาดความซื่อสั ต ย์
จริงใจต่อ กัน ในช่วงแรกรักต่างก็รักและภักดีต่อ กัน พอมาเป็นสถาบันครอบครัว ความรักนั้นจืดจางลงไปตามวันเวลา ต่างฝ่ายต่างมีเรื่องซ่อนเร้นระหว่างกัน
แทนที่จะรักเดียวใจเดียว ก็เป็นรักคนเดียว แต่ว่ามีคนอื่นสำรองเอาไว้ มนุษย์เรานั้นทันทีที่ไม่ซื่อสั ต ย์ต่อ กันเค้าลางแห่งความหายนะมันก็เริ่มต้นแล้ว
2. ขาดความอดทนที่จะร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกัน
พอแต่งงานอยู่กินด้วยกัน แล้วมีปัญหาชีวิตคู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากสาเหตุใดก็ตาม อยู่ร่วมกันแล้วมีแต่ความทุกข์ มีแต่ปัญหา
มีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวายใจ ซึ่งในขณะที่ใช้ชีวิตโสดไม่เป็นอย่างนั้นก็เริ่มรับไม่ได้ พอรับไม่ได้ แล้วสั่งสมหมักหมมมากเข้า ก็เกินขีดอดทน สุดท้ายก็เลิกร้างห่างเหินกันไป ต่างคนต่างไปทางใครทางมัน
3. ขาดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วพอมีปัญหาแทนที่จะยืดหยุ่น แทนที่จะมีการปรับตัว แทนที่จะมีการให้โอ กาส
ต่างฝ่ายต่างก็ถือเอาอัตตาหรือตัวตนของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ยอมเรียนรู้ไม่ยอมฟังกัน เมื่อไม่ยอมยืดหยุ่น ต่างคนก็ต้องต่างไป ทางใครทางมันเช่นเดียวกัน
4. ขาดการเข้าใจในการสื่อສ า รระหว่างกันและกัน
เมื่อปัญหา ไม่ยอมเจรจาสันติภาพ ใช้วิธีนิ่ง ใช้วิธีนินทา ใช้วิธีสร้างโลกของตัวเองซ้อนขึ้น มาในโลกของครอบครัว เมื่อไม่สื่อສ า รกัน ปัญหาก็ยังคงเป็นปัญหา
สุดท้ายเมื่อเหตุการณ์รุนแรงถึงที่สุด ก็ต้องเลิกรากันไป หลายคนที่เลิกร้างกันไป ไม่ใช่ห ມ ายความว่าไม่รักกัน แต่ขาดการเจรจาหรือขาดการสื่อສ า รที่ดีระหว่างกัน
ฉะนั้นใครก็ตามอยู่กันเป็นครอบครัว ควรจะนำหลักธรรมดังกล่าวไปลองประยุกต์ใช้ในชีวิตให้มากที่สุด หลักธรรมนี้เปรียบเสมือนน้ำ
น้ำนั้นทำทุกอย่างเชื่อมหลอมรวมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกัน ฉันใด หลักธรรมมะก็เชื่อมคนในครอบครัวให้อยู่ด้วยกันอย่างสนิมสน มกลมเกลียวด้วยกันฉันนั้น