เขาได้เกิดมาพร้อมกับเป็นคนที่กล้ามเนื้อลีบ ไม่เหมือนคนอื่น แต่เขานั้น มีสติปัญญาที่ดีกว่าคนในรุ่นเดียวกัน เขาเป็นลูกของแม่เลี้ยงเดี่ยว คุณแม่ของเขานั้นคือคุณ “เหอเหม่ยจิน”
เป็นคุณแม่ที่คอยเลี้ยงดูเขาเพียงลำบากตั้งแต่เล็กจนโต เพราะเขานั้นเป็นคนที่มีโ รคมาตั้งแต่กำเนิด จึงทำให้ร่างกายของเขานั้นไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
คุณแม่ของเขาได้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการบริษัทประกันภัย ได้ออกมาเปิดเป็นบริษัทของตัวเองเพื่อที่จะเลี้ยงดูลูก ซึ่งต่อมาบริษัทของเขาก็ได้ปิดตัวลง
ทั้งคู่จึงได้เก็บผักแล้วเอาไปขายยังตลาด ใช้ชีวิตไปวันๆ หาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ใกล้หมดอายุในซุปเปอร์มาเก็ตมากินประทังชีวิต
และทุกครั้งที่เขาเห็นสกู๊ปชีวิตในทีวี เขามักจะเอ่ยอยู่เสมอ “อันนี้มันน่าสงส ๅ รแล้วเหรอ”
“แม่ครับ วันนี้เป็นวันเกิดของผม”
วันนี้เมื่อ 23 ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ แม่เหนื่อยและลำบากเพราะผมมาก เป็นเรื่องที่ใครๆก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ลูกชายคนนี้ของแม่เกิดมาพร้อมกับโ รคกล้ามเนื้อลีบฯ
แม่ทนกับคำถากถางของญาติพี่น้องในทุกๆวันได้อย่างไร? แม่ทิ้งเงินเดือนในตำแหน่งผู้จัดการอันสูงลิ่ว ชีวิตครอบครัวจบลงด้วยการหย่าร้าง แม่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวเลี้ยงดูผมมาลำพังจนเติบใหญ่ ที่จริงแม่ทิ้งผมไว้ที่บ้านกำพร้าก็ได้ แต่แม่ก็ไม่ทำ เพราะอะไร?
คุณหมอบอกว่า “คนนี้น่าจะอยู่ได้สัก 6 ปี หรือ 12 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี ” ผมไม่รู้ว่าเมื่อแม่ได้ยินข่าวร้ ๅ ยอย่างนี้ ทำไมยังพูดคุยหัวเราะบอกกับผมว่า “คุณลุงหมอบอกแม่ว่า ลูกจะหายตอนอายุ 6ขวบ และจะหายเป็นปกติตอนอายุ 12 ขวบ”
ตอนที่ผมอายุได้18 ปี อาการป่วยของผมกำเริบหนัก ทำให้ผมไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ผมไม่รู้ว่าคนตกงานอย่างแม่ทำได้ยังไง ที่ไม่ให้สิ่งเหล่านี้มากดทับซ้ำเติมคนอ่อนแออย่างผม
วันนี้ ผมอายุ 23 ปีแล้ว ที่ผมอยู่ได้มากขึ้นในแต่ละวัน ก็เพราะแม่ส่งเสริม ก็เพราะเกียรติของแม่ ตอนที่เรียน มัธยม แม่ทำงานใช้หนี้จนแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
จึงทิ้งโอกาสที่จะเดินทางไปเกาสยงเพื่อไปรับรางวัลคุณแม่ดีเด่น แต่วันนี้ผมภูมิใจในแม่มาก ผมอยากจะบอกแม่ดังๆว่า
“ผมรักแม่ แม่คือคุณแม่ดีเด่นในใจผมตลอดไป”
ตอนเล็กๆ ผมไม่เข้าใจและผมก็โมโห ม ๅก ทุกครั้งที่ผมหกล้ม แม่ไม่เคยมาพยุงผมเลย ต่อให้ผมคลานอยู่กับพื้นที่สวนสาธารณะ ถูกผู้คน มองนานเป็น 10-20 นาที แม่ก็ไม่เคยเข้ามาพยุงผม ผมต้องกัดฟันจับเก้าอี้พยุงตัวเองขึ้น มา
เมื่อผมโตผมจึงเข้าใจ คนที่เป็นโ รคเดียวกับผมไม่มีใครเดินได้ หากแม่ไม่ใจดำกับผม ผมคงจะฝึกเดินเองไม่ได้จนถึงตอนนี้
แต่ผมไม่รู้ว่าแม่ทนได้ยังไงที่จะไม่เข้ามาพยุงผม ทุกนาทีที่ผมล้มลุกคลุกคลานอยู่กับพื้น มันไม่ใช่เหมือน มีดที่คอยกรีดใจแม่เป็นร้อยๆพันๆปีหรอกหรือ?
ยิ่งใครๆเขาสงส ๅ รผม แม่ก็ยิ่งเรียกร้องกับผม ตอนเล็กกล้ามเนื้อมือไม่แข็งแรง เวลาเขียนตัวหนังสือก็เหมือนไก่เขี่ย ผมเขียนได้บรรทัดหนึ่ง
แม่ก็ฉีกไปหน้าหนึ่ง เกรดไม่ดี คะแนนลดไปหนึ่งคะแนน แม่ก็ตีผม “เดินก็ไม่ถนัด ยังจะมาเรียนหนังสือแย่อีก แม่ไม่อยู่แล้วลูกจะทำยังไง?”
ผมเรียน มัธยมจนถึงเรียน มหาลัยแห่งชาติได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเพราะแม่คอยเตรียมการให้ การเรียนไม่ใช่สาเหตุของความสำเร็จในชีวิต
แต่นี่มันปูด้วยหยดโลหิตและน้ำตาของแม่ แส้ที่แม่ตีผม ทุกครั้งที่แม่ตีถูกเนื้อผมก็เจ็บไปถึงใจของแม่ แม่ยอมทนเจ็บที่ใจเพื่อให้ผมยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องให้ใครเขามาสมเพชผม
ตอนที่แม่เปิดบริษัทเอง ไม่ว่าจะยุ่งยังไงก็ตาม แต่ก็จะมาส่งข้าวกลางวันให้ผมด้วยตัวเองทุกครั้ง ก็เพราะผมชอบกินข้าวกล่องของร้านนั้นเป็นพิเศษ
แต่แม่ก็มาไม่ทันข้าวเที่ยงสักวัน ผมต้องถูกลงโทษให้ไปกินนอกห้องช่วงพักเรียนตอนบ่ายทุกวัน แต่ที่ผมไม่เคยบอกแม่เลยก็คือ ทุกวันที่ผมได้เห็นแม่ในช่วงกลางวัน ต่อให้แป๊บเดียว ผมก็มีความสุขมาก
ตอนที่ผมเรียน มัธยม บริษัทที่แม่เปิดต้องปิดลงเพราะหุ้นส่วนใจดำทั้งหลาย แม่จึงไปรับจ๊อบที่สำนักงานบัญชีเพื่อประทังชีวิต แต่ฟ้ายังไม่สว่างเลย
แม่ก็ไปทำงานที่ร้านขายอาหารเช้าแล้ว ตอนเย็นก็ไปล้างถ้วยที่ร้านอาหารบุฟเฟต์อีก เพื่อที่จะได้เอาอาหารที่เหลือขายมาให้ผมกิน
จำได้ว่ามีอยู่คืนหนึ่ง ประมาณ 5 ทุ่ม แม่ยังไม่มารับผมที่โรงเรียน ครูสอนพิเศษพาผมลงไปรอแม่ที่เซเว่น “เอ๊า! จะดื่มอะไร เลือกเอง ”
ผมยืนอยู่หน้าตู้แช่ กลอกตามองไปมา ผมไม่เคยใช้เงิน และก็ไม่ชินกับการซื้อเครื่องดื่ม จึงไม่รู้จะเลือกอย่างไร? “อื่อ อันนี้อร่อยดีนะ” ครูสอนพิเศษหยิบชาน มกระป๋องเขียว 2 กระป๋องไปจ่ายเงินที่เค้าเตอร์
ผมเข้าใจคำว่าเลือกในทันที ผมไม่มีเงิน ผมจึงเลือกเครื่องดื่มที่ผมชอบไม่ได้ ชีวิตของแม่ก็เช่นกัน แม่ก็เลือกไม่ได้เหมือนกัน ในตอนนั้น ผมคิดแต่เพียงว่า
หากแม่มีเงินแม่ก็คงมีทางเลือกมากขึ้น ผมไม่ต้องการเป็นเศรษฐี แต่อย่างน้อย ผมอยากเป็นคนเลือกบ้าง เลือกในสิ่งที่ผมต้องการ และที่ผมต้องการก็คือ อยากให้แม่กลับบ้านเร็วหน่อย ตอนเช้าตื่นสายๆหน่อย
ตอนที่เรียน มัธยม โ รคได้กำเริบรุนแรง ทำให้ผมขึ้นรถเมล์ไปเรียนเองไม่ได้ ไม่สามารถเดินไปรับอาหารกลางวันฟรีที่สหกรณ์ได้อีก
ตอนที่ต้องนั่งล้อเข็นใหม่ๆ ผมรับไม่ได้กับอุปกรณ์ส่วนเกินนี้ นอกจากร้องไห้แล้ว ผมก็อยากให้ชีวิตของผมมันจบๆไปซะที ผมถามฟ้าเบื้องบนอยู่เสมอว่า “ทำไมท่านทำกับผมอย่างนี้?”
ผมรู้ว่าแม่เจ็บปวดมากกว่าผม แต่แม่กล้ำกลืนอดทน มันไว้ ทุกครั้งที่ผมร้องไห้จนเหนื่อยหอบอยู่บนโต๊ะ แม่ก็จะแซวผมว่า “ดื่มน้ำเพิ่มไหม เสียน้ำตาไปมากแล้ว เดี๋ยวน้ำในตัวจะหมด”
ในวันนั้น ผมเอามีดทำอาหารของแม่เตรียมทำร้ ๅ ยตัวเอง แม่เห็นก็เข้ามาแย่ง แม่เอามือของแม่จับคมมีดฉุดไปจากผม แม่ไม่ได้กลัวว่ามีดจะบาดมือแม่ยังไง
แม่ห่วงแต่ว่าจะให้ผมมีชีวิตต่อได้ยังไง ผมตกใจจนต้องปล่อยมือจากมีดนั้น คลานไปนั่งที่มุมห้อง “ไม่ต้องงอแงเลย เอามีดมาให้แม่ แม่จะไปทำข้าวเย็น!”
ผมรู้สึกมันไร้ส ๅ ระมาก ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว แม่ยังจะมาทำข้าวเย็นให้กินอีก แต่แม่รู้ไหมครับ คำๆนี้ของแม่อยู่กับผมในช่วงเวลาที่ชีวิตดิ่งลงเหวลึกเสมอมา
“ไม่ว่าจะเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานเพียงใด พรุ่งนี้ก็ยังคงจะมาถึง ชีวิตยังคงต้องสู้ต่อ”
นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากวันนั้น ขอบคุณแม่มาก ที่เลี้ยงดูผมมาอย่างไม่ปรัก ปรำพร่ำบ่น
แม่ยิ่งใหญ่สำหรับผมมาก หากชาติหน้ามีจริง ผมจะไม่ขอเป็นลูกของแม่อีก ผมจะขอเกิดมาเป็นพ่อของแม่ เป็นแม่ของแม่ ผมขอเป็นคนดูแลแม่ ไม่ต้องให้แม่เจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างนี้อีก
“แม่ครับ ผมรักแม่!”