หลายคนอาจมั่นใจในตัวเองว่าเป็นคน มีเสน่ห์ และถูกแวดล้อมด้วยคนรอบข้างตลอดเวลา แต่แน่ใจหรือว่าคุณเป็นคนเจ้าเสน่ห์ที่มีความสุขในชีวิตจริงๆ ไม่ใช่แค่คน มารุมล้อมคุณเพราะการที่คุณลงทุนทุ่มเงินหรือสิ่งตอบแทนให้เขาเหล่านั้น
1. สร้างเป้าห มายให้กับชีวิต
ดัชนีที่สามารถใช้ชี้วัดความกระตือรือร้นและพลังชีวิตของแต่ละคนคือความสามารถในการสร้างเป้าห มายในชีวิต ลองถามตัวเองให้แน่ในเกี่ยวกับเป้าห มายระดับต่างๆ ที่ตั้งไว้
เพราะสิ่งนั้นควรจะเป็นเรื่องที่เราต้องการจริงๆ มีเวลาและพลังงาน มากพอ รวมทั้งคุ้มค่าต่อความพยายามที่แลกไป
เป้าห มายในระดับสูงน่าจะเป็นสิ่งสะท้อนถึงคุณค่าที่เรายึดถือในชีวิตอย่างแท้จริง เพื่อที่ว่าจะได้เกิดแรงผลักดันในการไปให้ถึง
2. กำหนดแต่ละก้าวสู่จุดห มายให้ชัดเจน
แต่ละก้าวที่เรามุ่งไปสู่จุดห มาย เมื่อสิ้นสุดภารกิจแต่ละขึ้นตอน สูดหายใจลึกๆ และทบทวนอีกครั้งว่าก้าวต่อไปจะแตกต่างจากเดิมอย่างไร ด้วยวิธีนี้จะทำให้เรามองเห็นขึ้นต่อไปชัดเจนขึ้น
และมีพลังงานสำรองมากพอที่จะลุยไปข้างหน้า หากเป้าห มายที่วางไว้เป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อนเลยในชีวิต ลองปรึกษากับคนที่ประสบความสำเร็จมาก่อน
ใช้คำแนะนำและชัยชนะของพวกเขามาเป็นแรงกระตุ้นที่มีประโยชน์สำหรับเรา แล้วทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
3. รักษาทัศนคติในแง่บวกและความกระตือรือร้นเอาไว้ให้ดี
กฎทองที่ควรมีไว้เตือนใจตัวเองเป็นประจำคือ พยายามเพ่งมองผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งต่างๆ ที่เรากำลังทำอยู่ในแง่ดี มากกว่ามองในแง่ลบ
แล้วสิ่งนี้เองที่จะสะท้อนไปถึงสิ่งแวดล้อมในการทำงาน ที่คุณจะสามารถเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้เป็นอย่างดี ทำให้มีความสุขในการทำงานเพิ่มขึ้น
4. รู้จักใช้ศิลปะในการวิพากษ์วิ จารณ์
อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้พ้นทั้งในชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงานคือเสียงวิพากษ์วิ จารณ์ ทั้งที่เราเป็นผู้กระทำและเป็นฝ่ายถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็น มุมไหนก็ตาม
ศิลปะในการวิพากษ์วิ จารณ์ที่สร้างสรรค์มีกฎง่ายๆ อยู่ไม่กี่ข้อ คือ มีจุดประสงค์ในการวิ จารณ์ที่เสนอทางออกที่เป็นจริง รวมทั้งให้คำแนะนำที่ดีในการแก้ปัญหา
ในการวิพากษ์วิ จารณ์ควรทำเป็นส่วนตัวไม่ใช่ในที่สาธารณะ และคำนึงถึงความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนต่างๆ ด้วย หากทำได้ตามขั้นตอนเหล่านี้ การวิพากษ์วิ จารณ์นั้นๆ จะให้ผลในแง่ดี
5. พูดคำว่า “ไม่” เสียบ้าง เพื่อลดความเครียดลง
ดูเหมือนว่าความเครียดส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน มาจากการปฏิเสธคนไม่เป็น หรือการไม่พูดคำว่า “ไม่” ออกไปชัดเจน ในบางสถานการณ์โดยเฉพาะในชีวิตการทำงาน
การปฏิเสธในเวลาที่เห มาะสมไม่ใช่เรื่องเ ล วร้ า ยหรือทำให้ดูไร้น้ำใจเสมอไป เพียงแต่ต้องเลือกวิธีการและจังหวะเวลาให้ดี ปฏิเสธอย่างชัดเจนในกรณีที่ทำไม่ได้จริงๆ
พูดสั้นๆ แค่ “ไม่ค่ะ ขอบคุณมาก” แต่ในบางกรณีอาจปฏิเสธพร้อมเหตุผลสั้นๆ เช่น “ไม่สะดวกค่ะ ต้องรีบเตรียมรายงานสำหรับวันพรุ่งนี้” การมีท่าทียิ้มแย้มจะทำให้การปฏิเสธนั้นไม่ดูก้าวร้าว
6. มองหาศรัทธาในชีวิต
ในชีวิตคนเราจำเป็นต้องมีศรัทธาต่อบางสิ่งอยู่เสมอ ศรัทธาคือความเชื่อมั่นหรือการให้คุณค่าต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นความห มายและคำอธิบายต่อการได้เกิดมามีชีวิตอยู่บนโลกนี้
ง่ายๆ อย่างเช่นความศรัทธาที่มีต่อศาสนา ซึ่งถ้าเราจะยึดถือในเรื่องศาสนาได้อย่างพอดีก็นับเป็นเรื่องดีมาก เมื่อมีศรัทธาแล้ว
ก็หัน มายอมรับและพอใจกับตัวเอง ด้วยการค้นหาความสำเร็จสูงสุดในชีวิตให้เจอแล้ว แล้วมีความพอใจกับมัน แค่นี้ความพอใจในชีวิตก็จะเกิดขึ้นเอง
7. ดูแลสุขภาพกายใจให้ดีอยู่เสมอ
อย่าห ลงลืมเป็นอันขาด การดูแลสุขภาพกายและใจให้แข็งแรงอยู่เสมอ เป็นเรื่องพื้นฐานที่เราต้องทำให้เป็นวินัยไปชั่ วชีวิต เพราะเมื่อสุขภาพดีเป็นเบื้องต้นแล้ว
เท่ากับว่าต้อนทุนชีวิตของเรามีตุนอยู่เต็มกระเป๋า โดยเริ่มด้วยการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่ามัวคุมอาหารจนผอมหัวโต ออกกำลังกายเป็นประจก
อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 20 นาที และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ คุณภาพชีวิตเต็มร้อยแน่นอน
8. อิ่มใจกับความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต
ไม่จำเป็นเสมอไปที่ความอิ่มเอิบใจ จะมาจากความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เพราะมีตัวอย่างหลายต่อหลายเรื่องที่ทำให้เห็นว่า ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ต่างหากที่จะนำไปสู่ชัยชนะที่สูงที่สุดในชีวิต
ดังนั้นลองหัน มาชื่นชมกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำสำเร็จดูบ้าง หากรู้จักอิ่มใจแล้ว ทีนี้ก็มอบความรักให้กับผู้อื่นด้วยการให้อภัย และพร้อมที่จะยกโ ท ษให้คนรอบข้างได้เสมอ
9. ฟื้นฟูคุณค่าให้ตัวเอง ในวันที่แสนท้อแท้
คงจะมีบ้างในบางวันที่รู้สึกล้มเหลวและเป็นผู้แพ้ แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองหมดแรงนอนซม หรือตามใจตัวเองผิดๆ ด้วยการกินอย่างไม่บันยะบันยัง
ดังนั้นลองหาวิธีง่ายๆในการสร้างกำลังใจให้ตัวเอง เช่น ใช้เวลายามเย็นเดินชมสวน โทรคุยกับเพื่อนเก่าที่มีคำพูดดีๆ ให้เราเสมอ